วันนี้ | 1 |
เมื่อวานนี้ | 6 |
เดือนนี้ | 42 |
เดือนที่แล้ว | 211 |
ปีนี้ | 860 |
ปีที่แล้ว | 1,991 |
ความเป็นมาของธงชาติ ประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ได้กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของธงชาติประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์นั้น ในช่วงตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1960 ได้มีปรากฏถึงการพัฒนาของธงชาติประเทศฟิลิปปินส์ว่ามีต้นกำเนิดมาจากธงประจำกองกำลังของผู้นำในสมาคมคาติปูนัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นองค์กรปฏิวัติโดยมีจุดมุ่งหมายในการต่อต้านอำนาจทางการปกครองของประเทศสเปน และทำการชี้นำการปฏิวัติประเทศฟิลิปปินส์ แต่ถึงอย่างไรก็ตามยังไม่สามารถมีข้อสรุปได้ว่าธงประจำกองกำลังเหล่านี้ สมควรที่จะถือเป็นต้นกำเนินของธงชาติฟิลิปปินส์หรือไม่อย่างไร โดยที่ธงแบบแรกของสมาคมคาติปูนันนั้น เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีแดง และมีตัวอักษร “ K” สีขาวเรียงตัวกันตามแนวนอนด้วยกัน 3 ตัว อักษรนี้เป็นอักษรย่อจากชื่อเต็มของสมาคมคาติปูนันในภาษาตากาล็อก ซึ่งมีความหมายที่แปลว่า สมาคมสูงสุดและอันเป็นที่นับถือแห่งบุตรของชาติ ส่วนผืนธงที่มีสีแดง หมายถึง เลือด เนื่องจากสมาชิกของคาติปูนันได้ลงนามในเอกสารยืนยันความเป็นสมาชิกกลุ่มด้วยเลือดของตนเองนั่นเอง
แต่ถึงอย่างไร ผู้นำหลากหลายคนในคาติปูนันก็ยังคงมีธงประจำกองกำลังของแต่ละคนเป็นของตนเอง โดยที่องค์การคาติปูนันในจังหวัดคาวิเต 2 กลุ่ม ซึ่งได้แก่ กลุ่มมักดิวัง และ กลุ่มมักดาโล องค์การ 2 กลุ่มนี้ได้มีการกำหนดรูปแบบธงของกลุ่มขึ้น โดยทั้งสองกลุ่มนี้จะมีการออกแบบธงให้โดยใช้พื้นสีแดง และมีรูปตะวันเป็นสีขาว แต่ทั้งสองกลุ่มนี้จะไม่ได้ใช้อักษรย่อ “K” ที่ใจกลางดวงตะวันตามชื่อสมาคม แต่สมาคมเหล่านั้นกลับใช้อักษรที่ออกเสียงว่า “คา” ในระบบการเขียนบายบายอิน ซึ่งเป็นระบบการเขียนในก่อนยุคที่ประเทศสเปนจะทำการปกครอง และในที่สุด สมาคมคาติปูนันก็ได้มีการกำหนดรูปแบบธงขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1897 ระหว่างการประชุมสมาชิกครั้งหนึ่งในเมืองนาอิก รูปแบบธงแบบใหม่นี้ จะเป็นมีพื้นธงเป็นสีแดง มีรูปดวงอาทิตย์ปรากฏใบหน้ามนุษย์สีขาว ส่วนในรูปดังกล่าวนั้นจะมีรัศมีถึง 8 แฉกด้วยกัน ซึ่งสื่อความหมายถึง จังหวัดทั้งแปดจังหวัด ซึ่งประเทศสเปนได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกเพื่อทำการปราบปรามผู้ที่ก่อการกบฏในช่วงนั้น
ส่วนธงชาติประเทศฟิลิปปินส์ในรูปแบบสมัยใหม่ เอมีลีโอ อากีนัลโด ผู้ซึ่งเป็นประธานาธิบดีคนแรกแห่งสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 1 ได้กำหนดแนวคิดและทำการออกแบบธงชาตินี้ เมื่อค.ศ.1897 และในระยะเวลาต่อมา มาร์เซ ลา มารีโญ เด อากอนซีญา เป็นผู้ลงมือเย็บธงชาติในรูปแบบสมัยใหม่นี้ขึ้นมา พร้อมทั้งลูกสาวของเธอ ลอเรนซา และหลานสาวของโฮเซ รีซัล คอยเป็นผู้ช่วยในการเย็บธงชาติในครั้งนี้
จนกระทั่งในเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน ค.ศ. 1898 ธงชาติประเทศฟิลิปปินส์ได้ถูกชักขึ้นสู่ยอดเสาอย่างเป็นทางการระหว่างพิธีประกาศเอกราชของประเทศ ที่เมืองคาวิต จังหวัดคาวีเต สำหรับในส่วนความหมายดั้งเดิมของธงชาตินั้น ได้มีการแจกแจงไว้โดยละเอียดในเนื้อความของคำประกาศอิสระภาพ แม้จะไม่ปรากฏและถูกบันทึกไว้ว่ามีแบบร่างดังกล่าวปรากฏอยู่จริง ทั้งนี้ ในแบบดั้งเดิมของธงชาติ จึงได้มีการยอมรับการใช้รูปดวงอาทิตย์มีรูปใบหน้ามนุษย์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ในเชิงเทววิทยา แหล่งข้อมูลต่าง ๆ มีการกล่าวในลักษณะที่ขัดแย้งกัน ค้านว่าสีธงชาติที่แท้จริงของแบบดั้งเดิมนั้น ควรที่จะเป็นสีแดงและสีน้ำเงินแบบเดียวกับที่ใช้ในธงชาติคิวบา โดยมีการอ้างอิงจากหลักฐานในเชิงเกร็ดประวัติศาสตร์ที่มี
และเมื่อถึงคราวในช่วงที่ประเทศฟิลิปปินส์เกิดการแตกแยกกันกับประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1899 ธงชาติประเทศฟิลิปปินส์จึงมีลักษณะที่กลับเอาสีแดงขึ้นด้านบนเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1899 การใช้ลักษณะธงชาติในรูปแบบนี้เพื่อเป็นการประกาศว่า ประเทศฟิลิปปินส์ได้เข้าสู่สภาวะสงคราม และผลของสงครามจบลงด้วยการที่ประธานาธิบดี เอมีลีโอ อากีนัลโด ถูกฝ่ายประเทศสหรัฐอเมริกาจับเป็นเชลย และมีการถูกบังคับให้สาบานว่าจะจงรักภันดีต่อประเทศสหรัฐอเมริกาในอีกสองปีต่อมา หลังจากนั้นประเทศฟิลิปปินส์ก็ถูกปกครองด้วยระบบอาณานิคมของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นต้นมา และมีการแสดงให้เห็นว่าธงชาติของประเทศฟิลิปปินส์เป็นธงชาติที่ผิดกฎหมายตามรัฐบัญญัติว่าด้วยการต่อต้านของรัฐบาลในค.ศ.1907 ทำให้ในประเทศมีการขายผ้าสีแดงและสีน้ำเงินเสียส่วนใหญ่ เพราะตามแบบอย่างของธงชาติประเทศสหรัฐอเมริกา และกฎหมายนี้ได้ถูกยกเลิกเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ค.ศ. 1919 จึงทำให้มีการอนุญาตให้ใช้ธงชาติฟิลิปปินส์ได้ดังเดิมในเวลาต่อมา ทำให้ธงชาติประเทศฟิลิปปินส์นับตั้งแต่ ค.ศ.1919 เป็นต้นมา มีลักษณะเป็นสีแดงและสีน้ำเงินตามแบบธงชาติสหรัฐอเมริกา และในวันที่ 26 มีนาคม ค.ศ. 1920 ประเทศฟิลิปปินส์ได้มีการประกาศใช้ธงนี้อย่างเป็นทางการสำหรับหมู่เกาะฟิลิปปินส์ทั้งหมด และมีการฉลองวันธงชาติเป็นประจำในวันที่ 30 ตุลาคมของทุกปี ซึ่งเป็นวันที่มีการยกเลิกกฎหมายที่ห้ามใช้ธงชาติของประเทศฟิลิปปินส์ การฉลองวันธงชาติจึงมีขึ้นในช่วงระยะเวลานั้นจนถึงช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาในปี ค.ศ. 1941 ได้มีการย้ายวันธงชาติอย่างเป็นทางการจากวันที่ 30 ตุลาคม มาเป็นวันที่ 12 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่ฟิลิปปินส์ประกาศเอกราชครั้งแรกจากสเปนในปี ค.ศ. 1898
จวบจนกระทั่งใน ค.ศ. 1941 ธงชาติประเทศฟิลิปปินส์ได้ถูกห้ามใช้อีกครั้ง เมื่อถึงคราวที่ประเทศญี่ปุ่นเข้ามารุกรานและยึดครองหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และมีการชักธงชาติขึ้นสู่ยอดเสาอีกครั้งพร้อมกับการสถาปนาสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ที่ 2 ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1943 ซึ่งประเทศญี่ปุ่นเป็นผู้ให้การสนับสนุน โดยมีอดีตประธานาธิบดีเอมิลีโอ อากีนัลโด ได้ชักธงชาติซึ่งใช้สีเลียนแบบธงชาติคิวบาขึ้นอีกครั้ง โดยมีสีฟ้าอยู่ด้านบนตามปกติ หลังจากนั้นประเทศฟิลิปปินส์ก็ถูกประเทศญี่ปุ่นรุกรานอีกครั้งหลังจาก ค.ศ. 1944 จนกระทั่งมีการปลดปล่อยประเทศฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. 1945 จึงทำให้ธงชาติประเทศฟิลิปปินส์ตามแบบสีธงชาติของประเทศอเมริกาได้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้งบนแผ่นดินประเทศฟิลิปปินส์อย่างเป็นทางการ และธงชาติในรูปแบบนี้เองคือธงชาติที่ได้ถูกชักขึ้นสู่ยอดเสาในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 1946 ในพิธีส่งมอบเอกราชจากประเทศสหรัฐอเมริกา กลับเข้าสู่ความเป็นเอกราชที่ถาวรของประเทศฟิลิปปินส์นั่นเอง
ลักษณะและความหมายของธงชาติ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines)
ธงชาติสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ เป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบ่งตามยาว ธงจะมีความยาวเป็นสองเท่าของความกว้างธง ซึ่งเมื่อแปลงเป็นอัตราส่วนจะเท่ากับ 1:2 ตัวธงจะมีการแบ่งครึ่งของผืนธง โดยที่ครึ่งบนเป็นพื้นสีน้ำเงิน ครึ่งล่างเป็นพื้นสีแดง และถ้าหากแถบทั้งสองสีนี้สลับตำแหน่งกัน คือ แถบสีแดงอยู่บน แถบสีน้ำเงินอยู่ตอนล่าง แสดงว่าประเทศฟิลิปปินส์อยู่ในภาวะสงคราม ส่วนความยาวของรูปสามเหลี่ยมสีขาวแต่ละด้านเท่ากับความยาวของด้านกว้างของธง ส่วนรูปดาวห้าแฉก 3 ดวง แต่ละดวงนั้นอยู่ในตำแหน่งมุมของรูปสามเหลี่ยม โดยที่จุดยอดของรูปดาวนั้นชี้เข้าหาจุดยอดมุมของรูปสามเหลี่ยมแต่ละมุมนั้น ภายในมีรูปดวงอาทิตย์รัศมีสีทอง 8 แฉก ในส่วนของสัญลักษณ์และสีต่าง ๆ บนผืนธงมีรายละเอียดดังนี้
– สัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์มีรัศมีแปดแฉก หมายถึง แปดจังหวัดแรกของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งได้แก่ จังหวัดบาตังกาส จังหวัดบูลาคัน จังหวัดคาวิตเต จังหวัดลากูนา จังหวัดมะนิลา จังหวัดนูเอวา เอคิยา จังหวัดปัมปังกา และสุดท้ายคือจังหวัดตาร์ลัค ซึ่งจังหวัดทั้ง 8 นี้พยายามเรียกร้องเอกราชจากประเทศสเปน และฝ่ายประเทศสเปนได้บังคับใช้กฎอัยการศึกในพื้นที่ทั้ง 8 จังหวัดในเหตุการณ์ การปฏิวัติประเทศฟิลิปปินส์ในปี พ.ศ. 2439
– สัญลักษณ์ดาว 3 แฉก หมายถึง การแบ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของประเทศฟิลิปปินส์ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน ซึ่งได้แก่ เกาะลูซอน เกาะมินดาเนา และสุดท้ายคือหมู่เกาะวิสายัน
– สามเหลี่ยมสีขาวบนผืนธง หมายถึง เครื่องหมายเพื่อแสดงความเสมอภาคและภราดรภาพของประเทศฟิลิปปินส์
– พื้นสีน้ำเงินบนตัวธง หมายถึง ความมีสันติภาพ สัจจะ และความยุติธรรมในประเทศฟิลิปปินส์
เกร็ดความรู้
สิ่งที่ควรและไม่ควรกระทำในการติดต่อทางด้านธุรกิจในประเทศสาธารณรัฐฟิลิปปินส์
ในเรื่องของการแต่งกายเพื่อเจรจาหรือติดต่อธุรกิจกับประเทศฟิลิปปินส์ ควรมีการแต่งกายที่มีความเหมาะสมมีดังนี้
สำหรับผู้ชาย
ควรแต่งกายโดยการใส่เสื้อแขนยาวผูกไท เพราะการแต่งกายแบบนี้กลับเป็นที่ยอมรับสำหรับการประชุมทางด้านธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อได้มีการประชุมกับนักธุรกิจฟิลิปปินส์เชื่อสายจีน ส่วนชุดสูทจะเหมาะสมกับการเข้าประชุมที่เป็นทางการกับระดับกลุ่มผู้บริหาร หรืออาจจะเป็นการสังสรรค์ในการเข้าร่วมงานเลี้ยง อาหารค่ำในวาระต่าง ๆ
สำหรับผู้หญิง
ในการประชุมทางด้านธุรกิจ ผู้หญิงควรแต่งกายประเภทกระโปรงกับเสื้อหรือกางเกงกับเสื้อ (Smart casual) หรืออาจจะเป็นอีกประเภทหนึ่งอย่างกระโปรงชุดหรือชุดเสื้อกางเกง พร้อมสูท (western style business)
ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร
การเจรจาหรือทำการติดต่อสื่อสารทางด้านธุรกิจกับประเทศฟิลิปปินส์นั้น จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงการใช้ภาษา ซึ่งแต่ละประเทศก็ย่อมมีภาษาที่แตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรภาษาอังกฤษก็ถือได้ว่าเป็นภาษาสากลระดับโลก และภาษาอังกฤษก็เป็นภาษาที่สองที่ประเทศฟิลิปปินส์ใช้เป็นภาษาในการติดต่อสื่อสารและเจรจาทางด้านธุรกิจกับประเทศต่าง ๆ เพราะส่วนใหญ่แล้วชาวฟิลิปปินส์สามารถเขียนและอ่านภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี
การเรียกชื่อ – นามสกุล
เมื่อนักธุรกิจเข้าไปพบปะนักธุรกิจชาวฟิลิปปินส์ สำหรับชาวฟิลิปปินส์นั้น การพบปะในครั้งแรก ๆอาจจะยังเป็นการพบปะที่ไม่คุ้นเคยทั้งสองฝ่าย เพราะฉะนั้น จำเป็นที่จะต้องเรียกนามสกุลของผู้นั้นก่อน หลังจากนั้น ต่อเมื่อได้พูดคุยและทำความรู้จักจนคุ้นเคยกันแล้ว จึงสามารถเรียกชื่อตัวได้ อย่างเช่น Miss. Jonny lovely เมื่อพบกันครั้งแรก ต้องเรียกชื่อเฉพาะ Miss. lovely ต่อเมื่อสนิทกันแล้วจึงเรียก “ joy ” ได้