วันนี้ | 25 |
เมื่อวานนี้ | 6 |
เดือนนี้ | 42 |
เดือนที่แล้ว | 211 |
ปีนี้ | 860 |
ปีที่แล้ว | 1,991 |
ความเป็นมาของธงชาติ ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand)
รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สำหรับธงชาติไทยนั้นตามประวัติศาสตร์แล้วเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ปรากฏเป็นที่ชัดเจน แต่หลักฐานบางส่วนเท่าพบได้นั้นสื่อให้เชื่อว่า ธงชาติไทยน่าจะเกิดขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เนื่องจากในหนังสือจดหมายเหตุของประเทศฝรั่งนั้นได้กล่าวไว้ว่า เมื่อวันที่ 3 กันยายน ปีพ.ศ. 2223 เรือรบ เลอรโวตร์ ของประเทศฝรั่งเศส ได้นำเรือเข้ามาถึงปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อเจริญพระราชไมตรีและทำการค้า นายเรือมองซิเออร์ คอนแอน จึงถามชาวกรุงศรีอยุธยาว่า ถ้าหากเรือจากประเทศฝรั่งเศสจะยิงปืนให้ความเคารพแก่สยาม เมื่อเรือได้ผ่านป้อมวิชัยสิทธิ์ในปัจจุบัน ตามประเพณีของชาวยุโรป ทางกรุงศรีอยุธยาจะขัดข้องหรือไม่ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงทราบเรื่อง จึงทรงอนุญาตและรับสั่งให้เจ้าเองบางกอก ออกพระศักดิ์สงคราม ให้ทางป้อมยิงปืนตอบกลับด้วย และเมื่อเรือรบฝรั่งเศสทำการยิงปืนให้นั้น ทางป้อมก็ได้มีการชัดธงชาติฮอลันดาขึ้น เพราะในเวลานั้นธงชาติประเทศสยามยังไม่มี แต่เมื่อฝรั่งเศสเห็นว่าไม่ใช่ธงของชาติสยาม จึงไม่ทำการยิงปืนและแจ้งให้ทราบว่า หากสยามประเทศประสงค์ที่จะให้ประเทศฝรั่งเศสยิงปืนให้ ก็เอาธงของฮอลันดาลงเสีย แล้วชักธงอย่างใดอย่างหนึ่งในสยามขึ้นแทน เผอิญในสมัยนั้นธงสีแดงถือเป็นธงที่สยามใช้สำหรับนำทัพ สยามจึงนำธงสีแดงชักขึ้น ฝรั่งเศสเห็นจึงทำการยิงปืนให้ ด้วยเหตุนี้สยามประเทศจึงนำเอาธงสีแดงเป็นธงชาติสยามในเวลาต่อมา
คราวสมัยกรุงธนบุรีและต้นกรุงรัตนโกสินทร์
ธงสีแดงก็ยังคงเป็นธงเพื่อแสดงเครื่องหมายประจำเรือการค้าขายกับต่างประเทศอยู่ โดยที่ธงสีแดงนี้จะถูกชัดขึ้นทั้งในเรือหลวงและเรือราษฎร จนกระทั่งในเวลาต่อมา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ 1 ) ทรงอยากให้เรือหลวงกับเรือราษฎรมีเครื่องหมายที่แตกต่างกัน จึงพระบรมราชโองการให้ทำรูป “จักรสีขาว” ติดไว้ตรงกลางของธงสีแดงเพื่อเป็นเครื่องหมายที่ใช้เฉพาะเรือหลวงเป็นต้นมา
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2 )
ในช่วงปี พ.ศ. 2360 – 2366 ประเทศอังกฤษได้เข้ามาตั้งสถานีการค้าขายอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ พระบางสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างเรือกำปั่นของหลวงขึ้นถึง 2 ลำเพื่อล่องค้าขาย โดยที่เรืองหลวงทั้งสองลำนี้จะมีการชักธงแดงตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมา ในวันหนึ่งประเทศอังกฤษซึ่งเป็นเจ้าเมืองสิงคโปร์ได้บอกกับนายเรือหลวงของสยาม ให้มากราบบังคมทูลพระเจ้ากรุงสยามว่า “เรือเดินทะเลชาวมลายูที่ค้าขายกับสิงคโปร์ก็ชักธงสีแดงขึ้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้นจึงขอให้พระเจ้ากรุงสยามใช้ธงอย่างอื่นเสีย เพื่อจะได้จักการรับรองเรือหลวงได้สะดวกและไม่สับสน” และในช่วงนั้น พระองค์ทรงได้ช้างเผือกเอกมาสู่พระบารมีถึง 3 ช้าง คือ พระเศวตกุญชร พระยาเศวตไอยรา และพระยาเศวตคชลักษณ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้ทำรูปช้างสีขาวยืนพื้นอยู่ในวงจักรสีขาว ติดไว้ตรงกลางธงพื้นสีแดง ซึ่งมีความหมายว่า “พระเจ้าแผ่นดินผู้มีช้างเผือก” โดยธงรูปแบบนี้ได้ถูกนำมาใช้จนถึงรัชกาลที่ 3
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4)
สยามได้มีการทำหนังสือสัญญาเพื่อเปิดการค้าขายกับชาวตะวันตกมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีเรือสินค้าของประเทศต่าง ๆ เข้ามาค้าขายอย่างมากมาย พร้อมทั้งในช่วงนั้นมีสถานกงสุลตั้งอยู่ในพระนคร ซึ่งทำให้มีการชักธงชาติของประเทศตนเองขึ้นเป็นสำคัญ ดังนั้นจึงทำให้ประเทศสยามจะต้องมีธงชาติเป็นของตัวเองในรูปแบบที่แน่นอน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริว่า ธงสีแดงซึ่งเป็นธงที่ใช้กับเรือของสามัญชนชาวสยาม มีรูปแบบที่ซ้ำกับประเทศอื่น ทำให้ยากต่อการแยกแยะจึงสมควรที่จะยกเลิกให้ใช้เสีย พร้อมทั้งพระองค์ยังให้หันมาใช้ธงอย่างเรือหลวงเป็นธงชาติสยามแทน แต่มีการโปรดเกล้าให้เอารูปวงจักรสีขาวออก เพราะถือได้ว่าเป็นของสูงซึ่งเป็นเครื่องหมายเฉพาะของพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น แต่มีการปรับขนาดช้างเผือกให้ใหญ่ขึ้นอีก โดยในช่วงแรกเป็นแบบช้างเผือกยืนพื้น และในเวลาต่อมามีการปรับช้างให้เป็นแบบช้างเผือกปล่อย
ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5)
ในช่วงนี้ได้มีพระราชบัญญัติว่าด้วยแบบอย่างธงสยามเป็นครั้งแรก ซึ่งตรงกับรัตนโกสินทร์ศก 110 ต่อมาคือพระราชบัญญัติธงสยาม รัตนโกสินทร์ศก 116 และพระราชบัญญัติธงสยาม รัตนโกสินทร์ศก 118 โดยทุกฉบับได้ปรากฏลักษณะของธงชาติสยามเป็นแบบธงพื้นสีแดง และตรงกลางธงมีรูปช้างเผือกสีขาวปล่อยและหันหาเข้าหาเสาอย่างชัดเจน
ช่วงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6)
ในช่วงนี้ได้มีการออกประกาศเพิ่มเติมและทำการแก้ไขพระราชบัญญัติรัตนโกสินทร์ศก 129 ตามมาตรา 4 ข้อ 15 โดยแก้ไขในส่วนลักษณะของธงชาติให้เป็นพื้นสีแดงเช่นเดิม ส่วนตรงกลางธงเป็นรูปช้างเผือกทรงเครื่องยืนอยู่บนแท่น และหันหน้าเข้าเสา ธงนี้ให้เป็นธงสำหรับราชการ ได้มีการประกาศขึ้นในวันที่ 21 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2459 ธงรูปแบบนี้ซึ่งถือเป็นธงช้างรูปสุดท้ายของธงชาติในสมัยรัตนโกสินทร์
ในช่วงปี พ.ศ. 2459
ในช่วงท้ายของปีพ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระราชดำริให้มีการยกเลิกการใช้ธงชาติแบบช้างเผือกทรงเครื่องที่ยืนอยู่บนแท่น และทำการหันหน้าเข้าเสา โดยให้เปลี่ยนธงช้างมาเป็นธงแถบสีแทน เพราะทรงเห็นความยากลำบากของราษฎรที่ต้องทนสั่งซื้อธงช้างมาจากต่างประเทศ และในบางครั้งก็มีการติดธงชาติที่ผิดพลาดโดยการนำเอาขาช้างชี้ขึ้นจนกลายเป็นน่าละอาย และเมื่อมีการปรับเปลี่ยนธงให้เป็นธงแถบสีแล้ว ราษฎรก็สามารถที่จะทำธงขึ้นเองได้ ซึ่งจะช่วยขจัดปัญหาการติดที่ผิดพลาดอีกด้วย การปรับเปลี่ยนธงให้เป็นธงแถบสีในครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงทดลองใช้ธงชาติไทยในรูปแบบริ้วขาวแดงห้าริ้ว ซึ่งติดอยู่ที่สนามเสือป่าในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่เนื่องจากมองดูแล้วไม่สง่างาม จึงได้มีการปรับเปลี่ยนแถบตรงกลาง จากสีแดงให้เป็นสีน้ำเงินขาบ การเพิ่มสีน้ำเงินนี้ ได้ปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาในการบันทึกส่วนพระองค์ ในครั้งนั้นพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงเห็นด้วยกับข้อเสนอของอะแคว์ริส และได้ทรงทดลองวาดภาพธงสามสีลงในบันทึก พระองค์ทรงเห็นว่ามีลักษณะที่งดงามดีกว่าธงริ้วขาวแดงที่ใช้อยู่ และต่อมาเมื่อเจ้าพระยารามราฆพ (ในช่วงขณะนั้นยังคงเป็นพระยาประสิทธิศุภาการ) ได้ไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ และได้นำแบบธงไปถวายเพื่อทูลขอความคิดเห็น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานาถก็ทรงเห็นชอบด้วยกับธงในลักษณะแบบนี้ และรับสั่งว่าถ้าเปลี่ยนในขณะนั้นจะได้เป็นอนุสรณ์ในการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ ๑ ด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้พระยาศรีภูริปรีชา ร่างประกาศแก้แบบธงชาติสยาม และได้ทรงนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะเสนาบดีเพื่อฟังความเห็น ที่ประชุมลงมติเห็นชอบธงสามสีตามแบบที่คิดขึ้นใหม่
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติธงขึ้นเรียกว่า พระราชบัญญัติธง พระพุทธศักราช ๒๔๖๐ ออกประกาศเมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๐ มีผลบังคับใช้ภายหลังวันออกประกาศในหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว ๓๐ วัน ซึ่งต่อมาธงสยามแบบล่าสุดนี้ถูกเรียกว่า “ธงไตรรงค์”
ลักษณะและความหมายของธงชาติราชอาณาจักรไทย
ธงชาติของราชอาณาจักรไทย หรือ “ธงไตรรงค์” นั้นถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยหรือชาติไทยซึ่งธงชาติจะบ่งบอกถึงเอกลักษณ์ และศักดิ์ศรีในความเป็นไทย โดยธงชาติไทยหรือธงไตรรงค์นี้ จะมีลักษณะเป็นธงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ภายในผืนธงจะประกอบไปด้วยสีหลักถึง 3 สีด้วยกัน ซึ่งได้แก่ สีแดง สีขาวและสีน้ำเงิน โดยภายในผืนธงจะถูกแบ่งออกเป็น 5 แถบสี ซึ่งแถบในสุดคือพื้นสีน้ำเงิน ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าแถบสีขาวและสีแดงเป็น 2 เท่า ส่วนแถบถัดมาด้านนอกทั้งด้านบนและล่างเป็นพื้นสีขาวและพื้นสีแดงตามลำดับ สำหรับที่มาของชื่อธงที่ชื่อว่าธงไตรรงค์นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์ “เครื่องหมายแห่งไตรรงค์” โดยคำว่าไตรรงค์(ไตร = สาม, รงค์ = สี) มาจากสีทั้ง 3 สีบนผืนธงชาติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เมื่อ พ.ศ. 2464 ได้นิยามความหมายของธงไตรรงค์ไว้ว่า
–พื้นธงสีแดง หมายถึง เลือดอันยอมพลีให้แก่ชาติ
–พื้นธงสีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์แห่งพระพุทธศาสนาและธรรมะ
–พื้นธงสีน้ำเงิน หมายถึง สีส่วนพระองค์ขององค์พระมหากษัตริย์
แม้นิยามดังกล่าวจะไม่ใช่คำอธิบายที่ทรงประกาศให้ใช้อย่างเป็นทางการ แต่ทั้งสามสิ่งนี้คืออุดมการณ์รัฐที่พระองค์ทรงปลูกฝัง เพื่อให้คนไทยเกิดสำนึกความเป็นชาตินิยมมาตลอดรัชสมัยของพระองค์ และความหมายของธงไตรรงค์นี้ก็ยังคงมีความหมายเดิมจวบจนมาถึงในปัจจุบันนี้
เกร็ดความรู้
สำหรับข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับวัฒนธรรม ประเพณีความเชื่อ ศาสนาและสิ่งที่ควรเคารพนับถือสูงสุดของไทย ถือได้ว่าเป็นข้อมูลที่ดีที่สุดพร้อมทั้งเป็นเกร็ดความรู้ที่จะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับทุกๆ คนไม่ว่าจะเป็นชาติใดก็ตามที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย ดังนี้
สถาบันพระมหากษัตริย์
สำหรับในราชอาณาจักรไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นที่เคารพสักการะอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นการแสดงความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมเป็นสิ่งที่พึงปฏิบัติ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินเสียงเพลงบรรเลงสรรเสริญพระบารมีเมื่อใด การยืนถวายความเคารพระหว่างเพลงบรรเลงสรรเสริญพระบารมีจึงถือได้ว่าเป็นการให้ความเคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ถูกต้อง และถ้าหากต้องการเข้าไปในพระราชฐานควรแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยที่สุด โดยเฉพาะห้ามสวมเสื้อไม่มีแขนหรือแขนกุด กางเกงขาสั้น หรือรองเท้าแตะเด็ดขาด และถ้าหากมีการละเมิดใดๆ ไม่ว่าจะด้วยสถานการณ์ใดก็ตามถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ
ศาสนา
ราชอาณาจักรไทย มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ และยังคงมีศาสนาอื่นๆ ด้วย ในกรณีศาสนาอื่น ให้พึงปฏิบัติตามประเพณีของศาสนานั้นๆ แทน แต่สำหรับชาวพุทธ เมื่อไปวัดในพุทธศาสนาควรที่จะแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อยและมีความเหมาะสม เมื่อจะเข้าอุโบสถและโบสถ์ หรือสถานที่บริเวณที่มีป้ายแสดงว่าให้ถอดรองเท้าก่อนเข้า ก็ควรที่จะถอดรองเท้าก่อนเข้าเสมอ
-พระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งมีความเชื่อถือว่าเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งที่ควรเคารพสูงสุดอย่างหนึ่งในพระพุทธศาสนา และถูกจัดสร้างขึ้นเพื่อทำการสักการบูชาเท่านั้น การนำพระพุทธรูปออกนอกเขตราชอาณาจักรไทยโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงถือว่ากระทำการผิดกฎหมาย หากผู้ใดฝ่าฝืนจะต้องโทษตามกฎหมายกำหนด และในการสักการบูชานั้นควรวางพระพุทธรูปไว้ในที่สูงและมีความเหมาะสมเท่านั้น นอกจากนี้การปืนป่าย นั่ง หรือทำการพิงพระพุทธรูปไม่ว่าจะองค์จริงหรือองค์จำลอง ถือได้ว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการกระทำที่แสดงถึงความเคารพวัตถุทางศาสานาพุทธ หากต้องการถ่ายรูปกับพระพุทธรูปองค์ใด ก็ควรที่จะอยู่ในกริยาที่สงบ มีความเหมาะสมและให้ความเคารพต่อพระพุทธรูปองค์นั้น
– การกระทำใดๆ ก็ตามที่เปรียบเสมือนเป็นการกระทำที่เหยียดหยามศาสนาหรือสิ่งที่ควรเคารพนับถือในสถานที่ต่างๆ การกระทำนั้นย่อมเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายด้วยเช่นเดียวกัน มีโทษจำคุกตั้งแต่ 1–7 ปี
– พระสงฆ์เป็นนักบวชในศาสนาพุทธ มีกฎข้อห้ามของสงฆ์ ที่ห้ามไม่ให้สัมผัสหรือใกล้ชิดกับสตรี หากต้องรับสิ่งของใดๆ จากพระสงฆ์ สตรีควรรอให้พระสงฆ์วางของสิ่งนั้นเสียก่อนแล้วจึงทำการหยิบสิ่งของนั้นมาได้เท่านั้น
-ผู้ใดที่กระทำความผิดด้วยการหลอกลวง เนื่องจากมีการแต่งกายและแสดงตนว่าเป็นนักบวชในศาสนาพุทธ ทั้งๆที่ตนเองมิได้เป็นนักบวชที่แท้จริงแต่อย่างใด การกระทำเช่นนี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดตามกฎหมายอาญา จะต้องถูกระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี
ขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมไทย
– ชาวไทยมีขนบธรรมเนียมประเพณีในเรื่องของการการทักทาย จำเป็นที่จะต้องทักทายกันด้วยการยกมือไหว้อย่างนอบน้อม
– การแสดงความรู้สึกนึกคิดทางเพศอย่างเปิดเผยในพื้นที่สาธารณะชน ถือเป็นสิ่งที่ไม่ควรพึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการยอมรับในวัฒนธรรมไทยแต่อย่างใด
– ธงชาติไทยหากมีการบรรจุลงหีบห่อ ที่มีลักษณะเป็นการเหยียดหยามจะกระทำได้เฉพาะโดยหน่วยงานของรัฐหรือราชการเท่านั้น หรือแม้กระทั่งเป็นการกระทำทางการพาณิชย์โดยได้รับความเห็นชอบจากราชการอย่างถูกต้องแล้วตามกฎหมายเรื่องธงชาติเท่านั้น
– ประเพณีและวัฒนธรรมไทยต่าง ๆ เป็นสิ่งที่ควรพึงปฏิบัติและสืบทอดที่ดีงามและแสดงออกถึงความปรารถนาดีด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์เท่านั้น
– ชาวไทยถือได้ว่า ศีรษะเป็นของสูง จึงไม่ควรที่จะแตะต้องศีรษะของผู้ใด หากผิดพลาดด้วยความบังเอิญควรกล่าวคำขอโทษอย่างรวดเร็วจะดีที่สุด
– ชาวไทยถือว่า เท้าเป็นของต่ำสุด จึงไม่ควรที่จะแสดงกิริยาท่าทางด้วยการยกเท้าพาดบนโต๊ะเก้าอี้ หรือใช้เท้าชี้ไปทางคนหรือสิ่งของต่างๆ เพราะถือได้ว่าเป็นการแสดงกิริยาที่ไม่เหมาะสมยิ่ง